วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2556

เกาะเต่า ติดอันดับ 1 ใน 10 เกาะที่มีคนเลือกเที่ยวเยอะที่สุดในโลก

                           
                                                             เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี

หาดไร่เลย์ ในจังหวัดกระบี่ ติดอันดับ 3 หาดที่สวยที่สุดในโลก

                                                                 
                                                                        หาดไร่เลย์
เวปไซต์การท่องเที่ยว Trip advisor ได้จัดอันดับหาดที่สวยที่สุดในโลก หนึ่งในนั้นมีหาดไร่เลย์ ในจังหวัดกระบี่อยู่ในอันดับ 3 และหาดในหาน จังหวัดภูเก็ตอยู่ในอันดับ 6
                                                                       

หาดในหาน

เรียนลัดคำสั่ง Dos ที่จำเป็นสำหรับการซ่อมคอม


เรียนลัดคำสั่ง Dos ที่จำเป็นสำหรับการซ่อมคอม
ความจำเป็นในการใช้ (Dos) ยังคงมีอยู่ แม้ว่าในปัจจุบันบทบาทของมันจะเริ่มลดลงไปมากหลังจาก Windows เริ่มมีความสมบูรณ์และมีสิ่งอำนวยความสะดวกมาให้ชนิดที่ไม่ต้องพึ่งดอสเลย แต่ถ้าเมื่อไรเครื่องของคุณยังไม่มี Windows หรือเข้าไปใช้งาน Windows ไม่ได้ คำสั่งดอสก็มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะการใช้คำสั่งดอสจะช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้เช่นการ การซ่อมแซมไฟล์ที่เสีย ก๊อปปี้ไฟล์ข้อมูล แก้ปัญหา Bad Sector ฯลฯ ดังนี้เราควรทราบคำสั่งบางคำสั่งที่จำเป็นไว้บ้างเพื่อนำไปใช้งานในยามฉุกเฉิน
        Dos ย่อมาจาก Disk Operating System เป็นระบบปฎิบัติการรุ่นแรก ๆ ซึ่งการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์จะมีการทำงานบนระบบปฎิบัติการดอสเป็นหลัก โดยการทำงานส่วนใหญ่จะเป็นการทำงานโดยการใช้คำสั่งผ่านบรรทัดคำสั่ง (Command Line) ที่นิยมใช้กันคือ MS-Dos ซึ่งต่อมาระบบปฎิบัติการดอสจะถูกซ่อนอยู่ใน Windows ลองมาดูกันว่าคำสั่งไหนบ้างที่เราควรรู้จักวิธีใช้งาน

CD คำสั่งเข้า-ออก ในไดเร็คทอรี่
       CD (Change Directory) เป็นคำสั่งที่ใช้ในการเปลี่ยนไดเร็คทอรี่ในโหมดดอส เช่น ถ้าต้องการรัน คำสั่งเกมส์ที่เล่นในโหมดดอส ซึ่งอยู่ในไดเร็คทอรี MBK ก็ต้องเข้าไปในไดเร็คทอรีดังกล่าวเสี่ยก่อนจึงจะรันคำสั่งเปิดโปรแกรมเกมส์ได้
รูปแบบคำสั่ง
CD [drive :] [path]
CD[..]
        เมื่อเข้าไปในไดเร็คทอรีใดก็ตาม แล้วต้องการออกจากไดเร็คทอรีนั้น ก็เพียงใช้คำสั่ง CD\ เท่านั้นแต่ถ้าเข้าไปในไดเร็คทอรีย่อยหลาย ๆ ไดเร็คทอรี ถ้าต้องการออกมาที่ไดรว์ซึ่งเป็นระดับสูงสุด ให้ใช้คำสั่ง CD\ เพราะคำสั่ง CD.. จะเป็นการออกจากไดเร็คทอรีได้เพียงลำดับเดียวเท่านั้น
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง

CD\
กลับไปที่ Root ระดับสูงสุด เช่น ถ้าเดิมอยู่ที่ C:\>docs\data> หลังจากใช้คำสั่งนี้ก็จะย้อนกลับไปที่ C:\ >

CD..
กลับไปหนึ่งไดเร็คทอรี เช่น ถ้าเดิมอยู่ที่ C:\windows\command> หลังจากนั้น ใช้คำสั่งนี้ก็จะก็จะย้อนกลับไปที่ C:\windows>

CHKDSK (CHECK DISK) คำสั่งตรวจเช็คพื้นที่ดิสก์
        CHKDSK เป็นคำสั่งที่ใช้ในการตรวจสอบข้อมูลของหน่วยความจำ และการใช้งานดิสก์หรือฮาร์ดดิสก์ การรายงานผลของคำสั่งนี้จะเข้าไปตรวจสอบพื้นที่ไดเร็คทอรี และ FAT ของดิสก์ หรือไฟล์ เพื่อหาข้อมผิดพลาดของการเก็บบันทึก ถ้า CHKDSK พบว่ามี Lost Cluster จะยังไม่แก้ไขใด ๆ นอกจากจะใช้สวิตซ์ /f กำหนดให้ทำการเปลี่ยน Lost Cluster ให้เป็นไฟล์ที่มีชื่อไฟล์เป็น FILE0000.CHK ถ้าพบมากว่า 1 ไฟล์ อันต่อไปจะเป็น FILE0002.CHK ไปเรื่อย ๆ นอกจากนี้ยังสามารถรายงานปัญหาที่ตรวจพบได้อีก อย่างเช่น จำนวน Bad Sector , Cross-ling Cluster (หมายถึง Cluster ที่มีไฟล์มากกว่าหนึ่งไฟล์แสดงความเป็นเจ้าของ แต่ข้อมูลใน Cluster จะเป็นของไฟล์ได้เพียงไฟล์เดียวเท่านั้น)
รูปแบบคำสั่ง
CHKDSK [drive:][[path]filename] [/F] [/V]
[drive:][path]         กำหนดไดรว์ และไดเร็ทอรีที่ต้องการตรวบสอบ
filename         ชื่อไฟล์ที่ต้องการให้ตรวจสอบ
/F         สั่งให้ Fixes Errors ทันทีที่ตรวจพบ
/V         ขณะที่กำลังตรวจสอบ ให้แสดงชื่อไฟล์และตำแหน่งของดิสก์บนหน้าจอด้วย
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง

C:\WINDOWS>CHKDSK D:
ตรวจสอบข้อมูลการใช้งานดิสก์ในไดรว์ D

C:\>CHKDSK C: /F
ตรวจสอบ ไดรว์ C พร้อมกับซ่อมแซมถ้าตรวจเจอปัญหา

COPY คำสั่งคัดลอกไฟล์

       Copy เป็นคำสั่งที่ใช้ในการคัดลอกไฟล์ จากไดเร็คทอรีหนึ่งไปยังไดเร็คทอรีที่ต้องการ คำสั่งนี้มีประโยชน์มากควรหัดใช้ให้เป็น เพราะสามารถคัดลอกไฟล์ได้ยามที่ Windows มีปัญหา
รูปแบบคำสั่ง
COPY [Source] [Destination]
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง

C:\COPY A:README.TXT
คัดลอกไฟล์ชื่อ README.TXT จากไดรว์ A ไปยังไดรว์ C

C:\COPY README.TXT A:
คัดลอกไฟล์ชื่อ README.TXT จากไดรว์ C ไปยังไดรว์ A

C:\INFO\COPY A:*.*
คัดลอกไฟล์ทั้งหมดในไดรว์ A ไปยังไดเร็คทอรี INFO ในไดรว์ C

A:\COPY *.* C:INFO
คัดลอกไฟล์ทั้งหมดในไดรว์ A ไปยังไดเร็คทอรี INFO ในไดรว์ C

DIR คำสั่งแสดงไฟล์และไดเร็คทอรีย่อย
        เป็นคำสั่งที่ใช้แสดงรายชื่อไฟล์และไดเร็คทอรี คำสั่งนี้ถือเป็นคำสั่งพื้นฐานที่ต้องใช้อยู่เป็นประจำ เพื่อจะได้รู้ว่าในไดรว์หรือไดเร็คทอรีนั้น ๆ มีไฟล์หรือไดเร็คทอรีอะไรอยู่บ้าง
รูปแบบคำสั่ง
DIR /P /W
/P     แสดงผลทีละหน้า
/W    แสดงในแนวนอนของจอภาพ
ตัวอย่างการใช้คำสั่ง

C:\>DIR
ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีทั้งหมดในไดรว์ C

C:\>DIR /W
ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีทั้งหมดในไดรว์ C ในแนวนอน

C:\>INFO\DIR /P
ให้แสดงรายชื่อไฟล์ และไดเร็คทอรีย่อยในไดเร็คทอรี INFO โดยแสดงทีละหน้า

C:\>INFO\DIR *.TEX
ให้แสดงรายชื่อไฟล์ทั้งหมดในไดเร็คทอรี INFO เฉพาะที่มีนามสกุล TXT เท่านั้น

C:\> DIR BO?.DOC
ให้แสดงรายชื่อไฟล์ในไดรว์ C ที่ขึ้นต้นด้วย BO และมีนามสกุล DOC ในตำแหน่ง ? จะเป็นอะไรก็ได้


สรุปอาการเสียและการแก้ไขปัญหายอดฮิตของคอมพิวเตอร์

สรุปอาการเสียและการแก้ไขปัญหายอดฮิตของคอมพิวเตอร์
อาการเสียของคอมพิวเตอร์นั้นมีหลายสาเหตุ สามารถวิเคราะห์อาการเสียเบื้องต้นได้ดังนี้
1. อาการ บูตเครื่องขึ้นมาแล้ว ทุกอย่างไม่ทำงานและเงียบสนิท
      ให้ตรวจสอบที่พัดลมด้านท้ายเครื่องว่าหมุนหรือไม่ หากไม่หมุนอาจเป็นไปได้ว่าปลั๊กไฟเสีย หรืออาจขาดใน และให้เข้าไปเช็คที่ฟิวส์ของเพาเวอร์ซัพพลาย หากฟิวส์ขาดให้ซื้อฟิวส์รุ่นเดียวกันมาเปลี่ยน แต่ถ้าเพาเวอร์ซัพพลายเสีย ควรแนะนำลูกค้าให้เปลี่ยนเพาเวอร์ซัพพลายใหม่
2. อาการ บูตเครื่องแล้วจอมืด แต่ไฟ LED หน้าจอและไฟเคสติด
      ให้ตรวจสอบที่ปุ่มการปรับสีและแสงที่หน้าจอก่อน จากนั้นจึงเช็คในส่วนของขั้วสายไฟ และขั้วสายสัญญาณระหว่างเคสและจอภาพ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะเสียบการ์ดจอไม่แน่นหากตรวจเช็คอาการเหล่านี้แล้ว ทุกอย่างเป็นปกติดีสาเหตุน่าจะเกิดจากการ์ดแสดงผล และจอภาพ ให้นำอุปกรณ์ทั้ง 2 ตัวไปลองกับอีก เครื่องหนึ่งที่ทำงานเป็นปกติ หากการ์ดแสดงผลเสียต้องส่งเคลมหรือให้ลูกค้าเปลี่ยนใหม่ แต่ถ้าเป็นจอภาพ ให้ตรวจเช็คอาการอีกครั้ง ถ้าซ่อมได้ก็ควรซ่อม
3. อาการ บูตเครื่องแล้วมีไฟที่หน้าเคสและไฟฟล็อบปี้ไดรฟ์ แต่จอมืดและทุกอย่างเงียบสนิท
      ให้ตรวจสอบที่การเชื่อมต่อระหว่างขั้วต่อสายไฟของเพาเวอร์ซัพพลายกับเมนบอร์ดถูกต้องหรือไม่ หลุดหลวมหรือเปล่าตรวจสอบสายแพที่เชื่อมต่อกับขั้วต่อ IDE ของฮาร์ดดิสก์, ฟล็อบปี้ดิสก์ และซีดีรอม ถูกต้องหรือไม่ หลุดหลวมหรือไม่
ตรวจสอบการติดตั้งซีพียูว่าใส่ด้านถูกหรือไม่ ซีพียูเสียหรือไม่
ตรวจสอบจัมเปอร์หรือดิปสวิทช์ และการเข้าไปเปลี่ยนแปลงค่าในไบออสว่ามีการกำหนดค่าที่ถูกต้องหรือไม่ โดยเฉพาะค่าแรงดันไฟ Vcore
4. อาการ ที่จอภาพแสดงข้อความผิดพลาดว่า HDD FAILURE
ตรวจสอบการตั้งค่าในไบออสว่าถูกต้องหรือไม่
ตรวจสอบขั้วต่อ IDE ว่ามีการเสียบผิดด้านหรือไม่ หลุดหลวมหรือเปล่า
ตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ว่าเสียหรือไม่ โดยเข้าไปในเมนูไบออส และใช้หัวข้อ IDE HDD Auto Detection ตรวจหาฮาร์ดดิสก์ ถ้าไม่เจอแสดงว่าฮาร์ดดิสก์มีปัญหาแต่หากเจอแสดงว่าฮาร์ดดิสก์ปกติดี
5. อาการ เมื่อบูตเครื่องขึ้นมาแล้วมีสัญญาณเตือนดัง บี๊บ...........บี๊บ
      ควรตรวจสอบแรมว่าทำงานเป็นปกติหรือไม่ ติดตั้งดีแล้วหรือยัง วิธีแก้ไขให้ถอดแล้วเสียบใหม่
ตรวจสอบการติดตั้งการ์ดต่างๆ บนเมนบอร์ดว่าติดตั้งดีแล้วหรือยัง วิธีแก้ไขให้ถอดแล้วเสียบใหม่ ตรวจสอบซีพียูและการเซ็ตจัมเปอร์ว่าถูกต้องหรือไม่วิธีแก้ไขเซ็ตจัมเปอร์ใหม่โดยตรวจเช็คจากคู่มือเมนบอร์ด

ความร้อนในทางฟิสิกส์ (1)

                                                                                                        ความร้อน
อุณหภูมิ คือระดับความร้อน หรือเป็นตัวบอกระดับความร้อนใช้ในการเปรียบเทียบว่าสิ่งไหนร้อนกว่ากัน วัตถุจะถ่ายเทความร้อนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงไปสู่บริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำจนกระทั่งจะหยุดถ่ายเทความร้อนเมื่ออุณหภูมิเท่ากัน
                         
เครื่องมือที่เราใช้วัดอุณหภูมินั้นเราเรียกว่าเทอร์มอมิเตอร์ ซึ่งอุณหภูมิที่ใช้แบ่งสเกลโดยทั่วไปนั้นคือ     
            1.) จุดเยือกแข็ง เราใช้จุดเยือกแข็งของน้ำบริสุทธิ์ที่ความดัน 1 บรรยากาศ
                2.) จุดเดือด เราใช้จุดเดือดของน้ำบริสุทธิ์ที่ความดัน 1 บรรยากาศเช่นเดียวกัน
ดังนั้นเราจึงสามารถแบ่งจุดเยือกแข็งและจุดเดือดของเทอร์มอมิเตอร์ออกเป็น องศาเซลเซียส, เคลวิน และฟาร์เรนไฮต์ดังรูป และหลักการแปลงอุณหภูมิระหว่างเทอมอมิเตอร์แบบต่างๆ เราสามารถใช้ความสัมพันธ์
                         X คืออุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์ใดๆ
                                FP คือ จุดเยือกแข็ง (Freezing point)
                        BP คือ จุดเดือด (Boiling point)
                        C คืออุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์แบบองศาเซลเซียส
                                F คืออุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์แบบฟาร์เรนไฮต์
                                K คืออุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์แบบเคลวิน
                        R คืออุณหภูมิที่อ่านได้จากเทอร์มอมิเตอร์แบบโรเมอร์
ผลของความร้อนที่มีต่อสสาร
v เมื่อสสารได้รับความร้อนอุณหภูมิก็จะเพิ่มขึ้น
v เมื่อได้รับความร้อนสสารจะเกิดการขยายตัว ไม่ว่าจะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ในตัวนำไฟฟ้าค่าความต้านทานจะเปลี่ยนเมื่อสสารได้รับความร้อน ส่วนในก๊าซจะมีความดันเพิ่มขึ้น เมื่อเรารักษาปริมาตรให้คงที่
v เมื่อได้รับความร้อนสสารจะเปลี่ยนสถานะเพราะพลังงายภายในเพิ่มขึ้น จะทำให้โมเลกุลเกิดการสั่นจนกระทั่งแรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุล ไม่สามารถยึดโมเลกุลเอาไว้ได้
การถ่ายโอนความร้อน
v การนำความร้อน(เกิดในของแข็ง) เกิดจากความร้อนทำให้โมเลกุลของตัวกลางสั่น ดังนั้นตัวกลางที่ความร้อนเคลื่อนผ่านจะไม่เคลื่อนที่ไปด้วย ความร้อนถ่ายโอนจากบริเวณอุณหภูมิต่ำไปสู่บริแวณที่มีอุณหภูมิสูง และจะเข้าสู่สมดุลความร้อนเมื่ออุณหภูมิ 2 บริเวณเท่ากัน เช่น การนำความร้อนในลวดทองแดง
v การพาความร้อน(เกิดในของเหลวและแก๊ส)  เป็นการถ่ายโอนความร้อนที่ตัวกลางและความร้อนเคลื่อนที่ไปด้วยกัน การถ่ายโอนความร้อนแบบนี้ความร้อนจะไหลผ่านได้เร็วกว่าการนำความร้อน ยกตัวอย่างเช่น การต้มน้ำในกา น้ำที่ร้อนก้นกาจะพาความร้อนขึ้นมาด้านบน เพื่อคายความร้อนแล้ววนกลับลงไปเพื่อรับความร้อนอีกครั้ง
v การแผ่รังสี (ไม่อาศัยตัวกลาง) เป็นการถ่ายโอนความร้อนที่เกิดจากการเหนี่ยวนำสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้า หรืออยู่ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เช่นการแผ่รังสีความร้อนจากดวงอาทิตย์ หรือแสง

การเคลื่อนที่แบบโปรเจคไทล์

                                                                                            การเคลื่อนที่แบบโปรเจคไทล์
การเคลื่อนที่แบบโพรเจคไทล์เป็นการเคลื่อนที่ในสองมิติของวัตถุซึ่งมีความเร็วต้น ภายใต้อิทธิพลของแรงโน้มถ่วง ในการคำนวณเราต้องจำลองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นหลายอย่างเพื่อให้ง่ายต่อการคำนวณ และผลของการคำนวณจะตรงกับค่าจริงมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้
v ความสูงที่วัตถุเคลื่อนที่ต้องมีค่าน้อยพอ ที่จะไม่ทำให้มีผลจากการเปลี่ยนแปลงของค่า g (ค่า g จะมีค่าน้อยลงเมื่อระดับความสูงจากพื้นโลกมากขึ้น) เพราะในการคำนวณเรากำหนดให้ค่า g คงที่

v ความเร็วต้นของวัตถุที่เคลื่อนที่ต้องมีค่าน้อย พอที่จะไม่ทำให้เกิดผลจากแรงต้านอากาศ ตามกฎของสโตกส์ (แรงต้านอากาศแปรผันตรงกับความเร็วของวัตถุ)ซึ่งในการคำนวณบางครั้งเราไม่นำผลจากแรงต้านอากาศมาคิด
v ระยะทางการเคลื่อนที่ หรือ พิสัย (range) ต้องมีค่าไม่มากนักเพราะว่า ถ้าไกลมาก อย่างเช่นการยิงขีปนาวุธ เราต้องคำนึงถึงความโค้งของผิวโลกด้วย และทำให้เส้นทางการเคลื่อนที่ไม่เป็นทางโค้งแบบพาราโบลา
v เราจะตัดผลกระทบจากการหมุนของโลกออกไปด้วย เพราะผลการหมุนของโลกทำให้เกิดแรง Coriolis ที่กระทำกับวัตถุ แต่แรงนี้มีค่าน้อยมากเมื่อเทียบกับแรงโน้มถ่วง
 การเคลื่อนที่แบบโพรเจคไทล์เป็นการเคลื่อนที่ภายใต้ความเร่ง g ซึ่งเรากำหนดให้มีค่าคงที่ ดังนั้นสูตรการเคลื่อนที่ในแนวเส้นตรงยังสามารถนำมาใช้ได้ เพียงแค่เราต้องแยกคิดการเคลื่อนที่ทั้ง 2 แนว
ตัวอย่างการเคลื่อนที่แบบโพรเจคไตล์ในรูป เป็นการเคลื่อนที่บนระนาบ xy เราสามารถที่จะแยกวิเคราะห์การเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระทั้งแนวแกน x และแนวแกน y               
แนวแกน x ; วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร็วคงที่ (ความเร่งเท่ากับศูนย์)
แนวแกน y ; วัตถุเคลื่อนที่ด้วยความเร่งคงที่ (เป็นความเร่งเนื่องจากแรงโน้มถ่วง)

หลักการเปลี่ยนหน่วยในทางฟิสิกส์

หลักการเปลี่ยนหน่วย
              หน่วยเดิมคูณใส่ หน่วยใหม่เอาหารหมายความว่า หน่วยเดิมคือหน่วยอะไรก็ให้เอาไปคูณ ส่วนหน่วยที่ต้องการจะเปลี่ยน เป็นหน่วยอะไรก็ให้เอาไปหาร



การวัด,การประมาณและหน่วยในทางฟิสิกส์



การวัด และการประมาณ
(measurement and estimation)

ค่าที่ได้จากการวัดประกอบด้วยสองส่วน คือ ส่วนตัวเลขที่อ่านค่าได้โดยตรง และส่วนที่เป็นตัวเลขที่ต้องประมาณด้วยสายตา เช่น การวัดสิ่งของด้วยไม้บรรทัดที่มีสเกลละเอียดสุดเป็นมิลลิเมตร ต้องอ่านค่าเป็น  4.25 เซนติเมตร (เลข 4.2 เป็นค่าที่วัดได้แน่นอนตามความละเอียดของเครื่องมือ ส่วนเลข 5 ตำแหน่งสุดท้ายมาจากการประมาณด้วยสายตา) และถ้าหากต้องการระบุความไม่แน่นอน อาจบันทึกค่าเป็น นั่นหมายความว่า ค่าน้อยที่สุดของสิ่งที่เราวัดเท่ากับ 4.24 เซนติเมตร และมากที่สุดเท่ากับ 4.26 เซนติเมตร
การประมาณค่าตัวเลข มีหลักการพิจารณาแตกต่างกัน  ดังนี้คือ
1.      ถ้าเลขตำแหน่งสุดท้าย น้อยกว่า  5 ให้ปัดทิ้ง ถ้ามากกว่า 5 ให้ปัดขึ้น  เช่น 2.342 ประมาณเป็น 2.34 และ 4.937 ประมาณเป็น 4.94 เป็นต้น
2.      ถ้าเลขตำแหน่งสุดท้ายที่จะปัดทิ้ง เท่ากับ  5 ให้พิจารณาเลขหน้าเลข  5 ว่าเป็นเลขคู่ หรือเลขคี่
-          ถ้าเป็นเลขคี่ ให้ปัดขึ้น เช่น 6.335 ประมาณเป็น 6.34
-          ถ้าเป็นเลขคู่ ให้ปัดทิ้ง เช่น 3.925 ประมาณเป็น 3.92
การคำนวณความไม่แน่นอน (uncertainty)
-          การบวกและการลบความไม่แน่นอน มีค่าเท่ากับผลบวกความไม่แน่นอนของแต่ละปริมาณ
-          การคูณและการหารความไม่แน่นอน ให้คำนวณความไม่แน่นอนเป็นเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเมื่อนำปริมาณที่มีความไม่แน่นอนมาคูณหรือหารกัน เปอร์เซ็นต์ความไม่แน่นอนที่ได้จะเท่ากับการนำ เปอร์เซ็นต์ความไม่แน่นอนของแต่ละปริมาณมารวมกัน
การบวกและลบเลขนัยสำคัญ: จำนวนตัวเลขหลังจุดทศนิยมของผลลัพธ์จะต้องเท่ากับจำนวนตัวเลขของหลังจุดทศนิยมที่น้อยที่สุด ของตัวที่มาบวกหรือลบกัน
 การคูณและการหารเลขนัยสำคัญ : จำนวนเลขนัยสำคัญของผลลัพธ์ที่ได้จะเท่ากับเลขนัยสำคัญที่น้อยที่สุดของตัวที่มาคูณหรือหารกัน
หน่วย (units)
หน่วยสากลที่ใช้ในการระบุปริมาณทางฟิสิกส์หรือเรียกว่า ระบบหน่วยระหว่างชาติ (International System of Units) หรือ หน่วยเอสไอ (SI units) นั้น ประกอบ ด้วย
-          หน่วยมูลฐาน (base units) มี 7 หน่วย คือ เมตร (m), กิโลกรัม (kg), วินาที (s), แอมแปร์(A), เคลวิน(K), แคนเดลลา (Cd) และโมล (mol)
หลักการจำ คือ Candela Kelvin mass mole second kilogram ampere ให้อ่านเฉพาะตัวที่ขีดเส้นใต้เพื่อการสัมผัสคำ แคนเดล   เคลวิน     มา        โม        เซโค       กิโล              แอม (ซึ่งง่ายต่อการจำ)

ท่ากายบริหารเพื่อช่วยให้สมองของเรามีความจำที่ดีขึ้น


การหารายได้ทางอินเตอร์เนต ที่จะนำมาฝากกัน


พอดีผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือของ คุณ อุเทน พรหมแดง เรื่อง ชี้ช่องรวยด้วยคอมพิวเตอร์
จึงนำความรู้คร่าวจากหนังสือเล่มนี้มาฝากกัน
ผู้เขียน เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยภาษาเขียนกึ่งทางการ บอกเล่าถึงประสบการณ์การทำงานโดยการหาเงินด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านระบบอินเตอร์เนต ซึ่งหัวข้อทั้งหมด และรายละเอียดคร่าวๆในแต่ละหัวข้อมีดังนี้ คือ
                1. Computer  book  ผู้เขียนแนะนำการเขียนในลักษณะทั่วไปไม่ลงถึงรายละเอียดมาก โดยเฉพาะ สิ่งที่น่าสนใจคือ
- ***การตรวจสอบเทรนการของเรื่องของคอมพิวเตอร์ที่บุคคลส่วนใหญ่สนใจ โดยมีการตรวจสอบผ่าน เว็บเสิร์ชเอนจิ้นอันดับหนึ่งอย่าง google.com โดยการผ่าน google trend โดยสามารถช่วยตรวจสอบว่า ระหว่างคีย์เวิร์ด 2 คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ดไหนที่ได้รับความนิยมมากกว่ากัน
                - การตรวจสอบแนวความคิดของเรื่องที่เราจะเขียน
          - ค่าตอบแทนจากสำนำพิมพ์โดยทั่วไปคิดค่าตอบแทน 2 รูปแบบหลัก ดังนี้
* คิดเป็นเปอร์เซ็นตามยอดขายจริง คือ จ่ายเป็นเปอร์เซ็นจากยอดขายจากปก คูณด้วยจำนวนหนังสือที่ขายจริง ตามมาตรฐานแล้วจะจ่าย 10 เปอร์เซ็นต์จากปก
* คิดเป็นราคาเหมาจ่าย คือจ่ายเป็นเงินก้อนแบบครั้งเดียวจบโดยไม่คำนึงว่าหนังสือจะขายได้มากน้อยแค่ไหน
                - หลักการพิจารณาสำนักพิมพ์ที่จะพิมพ์ให้เรา มีทั้งสำนักพิมพ์ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กบางสำนักพิมพ์มีภาพลักษณ์ที่ดี พิมพ์หนังสือออกมามากแต่ก็เสียค่าลิขสิทธิ์ให้เราได้น้อย ขณะที่บางสำนักพิมพ์จ่ายค่าตอบแทนเป็นที่น่าพอใจแต่ว่า อาจจะทำหนังสือช้า แล้วงานอาร์ตเวิร์กก็ไม่ค่อยสวยน่าพอใจเท่าไหร่
สำนักพิมพ์ที่มีอยู่ อาทิ เช่น สำนักพิมพ์ infopress, สำนักพิมพ์ success media, สำนักพิมพ์ provision, สำนักพิมพ์ se-ed, สำนักพิมพ์ witty Group, สำนักพิมพ์ SIT และสำนักพิมพ์ eXP MEDIA
-         ถ้าเราไม่สามารถเสนอผลงานของเรากับสำนักพิมพ์ได้ เราสามารถทำเงินผ่าน E-book ได้โดย ทำเงินผ่านอินเตอร์เนตนั่นเอง การขาย E-book เราต้องตั้งราคาขาย ต่ำกว่าตลาดพอสมควรเพราะว่า

          2. E-commerce เป็นการซื้อขายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือการซื้อขายผ่านอินเตอร์เนต อย่างเช่นผ่าน amazon หรือ ebay เป็นตัวอย่างหนึ่งของเวปไซต์ E-commerce ส่วนเวปไซต์ E-commerce ในบ้านเราก็เช่น TARAD.com จุดแข็งของเวปไซต์ E-commerce คือ ไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องเช่าพื้นที่ของใคร ภาพสินค้าในร้านจึงเป็นภาพถ่าย มีออเดอร์เข้ามาแล้วค่อยส่งสินค้าไปให้กับลูกค้า
*** สิ่งที่น่าสนใจคือ ธุรกิจ E-commerce นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นร้านค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังสามารถเป็นตลาดกลางขายสินค้าได้ด้วย เป็นเหมือนผู้ขายรายย่อยและลูกค้ามาเจอกัน โดยมีการแยกหมวดหมู่สินค้าเพื่อให้ลูกค้าได้เข้าไปเลือกสินค้าได้อย่างสะดวก
สิ่งสำคัญคือต้องจดโดเมนเนม และเช่าโฮสติ้งหรือเซิฟเวอร์
ทำเวปไซต์ร้านค้าออนไลน์ด้วย CMS (content management system)
CMS คือ ระบบบริหารจัดการเวปไซต์สำเร็จรูป ซึ่งช่วยให้เราสร้างและบริหารจัดการเวปไซต์ได้ทุกอย่าง โดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องการทำเวปไซต์แต่อย่างใด
ตัวอย่าง CMS ที่จะแนะนำ คือ Joomla E-commerce Edition
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ
การทำธุรกรรมทางอินเตอร์เนต ต้องทำผ่านบัตรเครดิตหรือ อาจจะทำ Virtual Credit Card หรือ virtual card คือบัตรเครดิตเสมือน ซึ่งธนาคารจะออกให้เฉพาะแค่ตัวเลขบัตร 16 บัตร หมายเลข CVV และเดือน/ปีที่หมดอายุของบัตรเท่านั้น เราจะใช้ virtual Credit Card ได้เฉพาะในโลกของอินเตอร์เนตเท่านั้น ถ้าเราซื้อสินค้าไปแล้วเงินในบัญชีจะถูกหักภายใน 3 วัน
Vitual Credit Card ที่นิยมมากที่สุดก็คงจะเป็น K-Web Shopping Card  ของธนาคารกสิกรไทย เราแค่เปิดบัญชีธนาคารแล้วสมัครใช้ K-Cyber Banking
เมื่อมี virtual Credit card แล้ว ต่อไปต้องมีบัญชี Paypal หรือ ธนาคารออนไลน์ หรือ บริการรับจ่ายเงินออนไลน์ (Paypal เป็น บริษัทที่ eBay ซื้อกิจการไป

 ส่วนการหาเงินทางอื่น ก็อย่างเช่น
          3. E-mail marketing

          4. eBay

          5. Amazon

          6. Google Adsense

          7. Blog

          8. Banner

          9. File Sharing


          10. Stock Photos
 

Blogger news

Blogroll

About