พอดีผมมีโอกาสได้อ่านหนังสือของ คุณ อุเทน พรหมแดง เรื่อง ชี้ช่องรวยด้วยคอมพิวเตอร์
จึงนำความรู้คร่าวจากหนังสือเล่มนี้มาฝากกัน
ผู้เขียน
เขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยภาษาเขียนกึ่งทางการ
บอกเล่าถึงประสบการณ์การทำงานโดยการหาเงินด้วยคอมพิวเตอร์ผ่านระบบอินเตอร์เนต
ซึ่งหัวข้อทั้งหมด และรายละเอียดคร่าวๆในแต่ละหัวข้อมีดังนี้ คือ
1.
Computer book ผู้เขียนแนะนำการเขียนในลักษณะทั่วไปไม่ลงถึงรายละเอียดมาก
โดยเฉพาะ สิ่งที่น่าสนใจคือ
- ***การตรวจสอบเทรนการของเรื่องของคอมพิวเตอร์ที่บุคคลส่วนใหญ่สนใจ
โดยมีการตรวจสอบผ่าน เว็บเสิร์ชเอนจิ้นอันดับหนึ่งอย่าง google.com โดยการผ่าน
google trend โดยสามารถช่วยตรวจสอบว่า
ระหว่างคีย์เวิร์ด 2 คีย์เวิร์ด คีย์เวิร์ดไหนที่ได้รับความนิยมมากกว่ากัน
-
การตรวจสอบแนวความคิดของเรื่องที่เราจะเขียน
- ค่าตอบแทนจากสำนำพิมพ์โดยทั่วไปคิดค่าตอบแทน
2 รูปแบบหลัก ดังนี้
* คิดเป็นเปอร์เซ็นตามยอดขายจริง
คือ จ่ายเป็นเปอร์เซ็นจากยอดขายจากปก คูณด้วยจำนวนหนังสือที่ขายจริง
ตามมาตรฐานแล้วจะจ่าย 10 เปอร์เซ็นต์จากปก
* คิดเป็นราคาเหมาจ่าย
คือจ่ายเป็นเงินก้อนแบบครั้งเดียวจบโดยไม่คำนึงว่าหนังสือจะขายได้มากน้อยแค่ไหน
-
หลักการพิจารณาสำนักพิมพ์ที่จะพิมพ์ให้เรา
มีทั้งสำนักพิมพ์ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กบางสำนักพิมพ์มีภาพลักษณ์ที่ดี
พิมพ์หนังสือออกมามากแต่ก็เสียค่าลิขสิทธิ์ให้เราได้น้อย
ขณะที่บางสำนักพิมพ์จ่ายค่าตอบแทนเป็นที่น่าพอใจแต่ว่า อาจจะทำหนังสือช้า
แล้วงานอาร์ตเวิร์กก็ไม่ค่อยสวยน่าพอใจเท่าไหร่
สำนักพิมพ์ที่มีอยู่ อาทิ เช่น
สำนักพิมพ์ infopress, สำนักพิมพ์ success media, สำนักพิมพ์
provision, สำนักพิมพ์ se-ed, สำนักพิมพ์
witty Group, สำนักพิมพ์ SIT และสำนักพิมพ์
eXP MEDIA
-
ถ้าเราไม่สามารถเสนอผลงานของเรากับสำนักพิมพ์ได้
เราสามารถทำเงินผ่าน E-book ได้โดย ทำเงินผ่านอินเตอร์เนตนั่นเอง
การขาย E-book เราต้องตั้งราคาขาย
ต่ำกว่าตลาดพอสมควรเพราะว่า
2. E-commerce
เป็นการซื้อขายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์
หรือการซื้อขายผ่านอินเตอร์เนต อย่างเช่นผ่าน amazon หรือ
ebay เป็นตัวอย่างหนึ่งของเวปไซต์ E-commerce
ส่วนเวปไซต์ E-commerce ในบ้านเราก็เช่น
TARAD.com จุดแข็งของเวปไซต์ E-commerce คือ
ไม่ต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องเช่าพื้นที่ของใคร ภาพสินค้าในร้านจึงเป็นภาพถ่าย
มีออเดอร์เข้ามาแล้วค่อยส่งสินค้าไปให้กับลูกค้า
*** สิ่งที่น่าสนใจคือ ธุรกิจ E-commerce
นั้นไม่จำเป็นต้องเป็นร้านค้าออนไลน์เท่านั้น
แต่ยังสามารถเป็นตลาดกลางขายสินค้าได้ด้วย
เป็นเหมือนผู้ขายรายย่อยและลูกค้ามาเจอกัน
โดยมีการแยกหมวดหมู่สินค้าเพื่อให้ลูกค้าได้เข้าไปเลือกสินค้าได้อย่างสะดวก
สิ่งสำคัญคือต้องจดโดเมนเนม
และเช่าโฮสติ้งหรือเซิฟเวอร์
ทำเวปไซต์ร้านค้าออนไลน์ด้วย CMS (content management system)
CMS คือ ระบบบริหารจัดการเวปไซต์สำเร็จรูป
ซึ่งช่วยให้เราสร้างและบริหารจัดการเวปไซต์ได้ทุกอย่าง
โดยไม่ต้องมีความรู้เรื่องการทำเวปไซต์แต่อย่างใด
ตัวอย่าง CMS ที่จะแนะนำ
คือ Joomla E-commerce Edition
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ
การทำธุรกรรมทางอินเตอร์เนต ต้องทำผ่านบัตรเครดิตหรือ
อาจจะทำ Virtual Credit Card หรือ virtual
card คือบัตรเครดิตเสมือน
ซึ่งธนาคารจะออกให้เฉพาะแค่ตัวเลขบัตร 16 บัตร หมายเลข CVV
และเดือน/ปีที่หมดอายุของบัตรเท่านั้น
เราจะใช้ virtual Credit Card ได้เฉพาะในโลกของอินเตอร์เนตเท่านั้น
ถ้าเราซื้อสินค้าไปแล้วเงินในบัญชีจะถูกหักภายใน 3 วัน
Vitual Credit Card ที่นิยมมากที่สุดก็คงจะเป็น
K-Web Shopping Card ของธนาคารกสิกรไทย
เราแค่เปิดบัญชีธนาคารแล้วสมัครใช้ K-Cyber Banking
เมื่อมี virtual Credit card แล้ว
ต่อไปต้องมีบัญชี Paypal หรือ ธนาคารออนไลน์
หรือ บริการรับจ่ายเงินออนไลน์ (Paypal เป็น บริษัทที่ eBay
ซื้อกิจการไป
ส่วนการหาเงินทางอื่น ก็อย่างเช่น
3. E-mail
marketing
4. eBay
5. Amazon
6. Google
Adsense
7. Blog
8. Banner
9. File
Sharing
10. Stock
Photos
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น